top of page
ค้นหา

ข้อควรรู้ ชิ้นงานประเภทใดที่ไม่เหมาะกับการทำสีฝุ่น และเพราะอะไร

อัปเดตเมื่อ 13 พ.ค.


พ่นสีฝุ่น

ต้องยอมรับเลยว่าสีฝุ่น ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติเด่นทั้งความทนทานที่เหนือกว่า ความสวยงามของพื้นผิวที่สม่ำเสมอ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับสีน้ำมันแบบดั้งเดิม แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกชิ้นงานจะเหมาะสมกับการทำสีด้วยวิธีนี้ การเลือกเทคนิคการทำสีที่ถูกต้องสำหรับวัสดุและลักษณะงานแต่ละประเภทจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง 


บทความนี้จะเจาะลึกถึงข้อควรรู้ที่เกี่ยวกับประเภทของชิ้นงานที่ไม่เหมาะกับการทำสีฝุ่น พร้อมเหตุผลประกอบ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีการเคลือบผิวที่เหมาะสมที่สุด และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามกันได้เลย


หากใครยังไม่รู้จักว่าสีฝุ่นคืออะไรสามารถอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้


ปัจจัยหลักที่ทำให้ชิ้นงานไม่เหมาะกับสีฝุ่น 


แม้ว่าสีฝุ่นจะเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานเคลือบผิวจำนวนมาก แต่ก็มีปัจจัยสำคัญหลายประการที่อาจทำให้ชิ้นงานบางประเภทไม่เหมาะสมกับกระบวนการนี้ ปัจจัยหลัก ๆ มักเกี่ยวข้องกับ คุณสมบัติของตัววัสดุเอง เช่น ความสามารถในการทนต่ออุณหภูมิสูงในระหว่างการอบ หรือคุณสมบัติการนำไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับกระบวนการพ่นสี 


นอกจากนี้ ลักษณะทางกายภาพของชิ้นงาน เช่น ขนาดที่ใหญ่เกินไป หรือความซับซ้อนของรูปทรงที่มีซอกมุมเข้าถึงยาก ก็เป็นข้อจำกัดสำคัญเช่นกัน รวมถึง ข้อจำกัดในตัวกระบวนการ เอง ที่อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบางอย่างของชิ้นงานนั้น ๆ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราประเมินได้ว่าสีฝุ่นคือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดหรือไม่ 


  1. การไม่ทนต่อความร้อนสูง 


ปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ทำให้ชิ้นงานไม่เหมาะกับการทำสีฝุ่นคือ การไม่ทนต่ออุณหภูมิสูง ในกระบวนการอบสี หรือ Curing Process นั่นเองครับ เพราะหัวใจของกระบวนการทำสีฝุ่นนั้นอยู่ที่ขั้นตอนสุดท้าย คือการนำชิ้นงานที่พ่นผงสีแล้วเข้าสู่เตาอบ ผงสีซึ่งเกาะอยู่บนผิวชิ้นงานด้วยไฟฟ้าสถิตจะได้รับความร้อนสูง โดยทั่วไปอุณหภูมิในเตาอบจะอยู่ที่ประมาณ 160 ถึง 210 องศาเซลเซียส (หรือสูงกว่านั้นสำหรับผงสีบางประเภท) เป็นระยะเวลาหนึ่ง ความร้อนนี้จะทำให้ผงสีหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงเกิดปฏิกิริยาเคมี ทำให้เกิดเป็นฟิล์มสีที่แข็งแรง ทนทาน และยึดเกาะแน่นกับพื้นผิวของชิ้นงาน


ดังนั้น หากวัสดุของชิ้นงานไม่สามารถทนทานต่ออุณหภูมิสูงในระดับนี้ได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


  • การหลอมละลาย 

วัสดุอย่างพลาสติกส่วนใหญ่ หรือยางบางชนิด จะไม่สามารถคงรูปอยู่ได้ และจะเริ่มหลอมละลายเมื่อได้รับความร้อนสูง ทำให้ชิ้นงานเสียรูปทรงโดยสิ้นเชิง


  • การบิดเบี้ยว เสียรูป 

แม้วัสดุบางชนิดอาจไม่ถึงกับหลอมละลาย แต่ความร้อนสูงก็สามารถทำให้เกิดการบิดเบี้ยว โก่งงอ หรือเปลี่ยนขนาดไปจากเดิมได้ เช่น ไม้ หรือพลาสติกบางเกรด


  • การไหม้ หรือเกิดรอยไหม้ 

วัสดุที่ติดไฟง่าย เช่น ไม้บางชนิด ผ้า หรือกระดาษ อาจเกิดการไหม้หรือมีรอยไหม้ที่ไม่พึงประสงค์


  • การปล่อยสารหรือก๊าซที่เป็นอันตราย

วัสดุบางชนิด เช่น ไม้ หรือพลาสติกบางประเภท เมื่อได้รับความร้อนสูงอาจปล่อยความชื้น สารเคมี หรือก๊าซต่างๆ ที่ถูกกักเก็บไว้ออกมา ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อคุณภาพของฟิล์มสี (เช่น เกิดฟองอากาศ หรือการยึดเกาะที่ไม่ดี) แต่ยังอาจเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อมได้


  • การเสื่อมสภาพของวัสดุ 

ความร้อนสูงอาจทำให้คุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของวัสดุเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เช่น เปราะแตกง่าย หรือสูญเสียความแข็งแรง


ตัวอย่างวัสดุที่ไม่ทนความร้อนสูงและมักจะไม่เหมาะกับการทำสีฝุ่นแบบดั้งเดิม ได้แก่ พลาสติกเกรดทั่วไปส่วนใหญ่ (เช่น PE, PP, PS) ไม้ธรรมชาติ ยาง ผ้า โฟม และวัสดุอื่น ๆ ที่มีจุดหลอมเหลวหรือจุดเสื่อมสภาพต่ำกว่าอุณหภูมิในการอบสี ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การที่ชิ้นงานไม่สามารถทนต่อความร้อนสูงในกระบวนการอบได้ จึงเป็นข้อจำกัดหลักที่ทำให้ไม่สามารถนำมาทำสีฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยนั่นเองครับ 


  1. ชิ้นงานที่ประกอบเสร็จแล้วและมีส่วนประกอบที่ละเอียดอ่อน


ชิ้นงานที่ประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีส่วนประกอบที่ละเอียดอ่อนหรือทำจากวัสดุที่แตกต่างกันรวมอยู่ด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไม่เหมาะกับการนำไปทำสีฝุ่นครับ เหตุผลหลัก ๆ ก็ยังคงเชื่อมโยงกับกระบวนการที่สำคัญของสีฝุ่น นั่นคือการอบด้วยความร้อนสูง และลักษณะทางกายภาพของชิ้นงานที่ประกอบแล้ว


ง่าย ๆ เลย ให้ลองนึกภาพชิ้นงานที่ประกอบขึ้นจากหลายส่วน เช่น ชิ้นส่วนโลหะที่มีตลับลูกปืน (bearing) ซึ่งภายในมีจาระบี มีซีลยางหรือพลาสติกประกอบอยู่ มีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก หรือมีกระจก/เลนส์ติดตั้งอยู่ เมื่อนำชิ้นงานทั้งชุดนี้เข้าสู่เตาอบที่มีอุณหภูมิสูงถึง 160-210 องศาเซลเซียส ส่วนประกอบที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง


  • ส่วนประกอบที่ไม่ทนความร้อนจะเสียหาย 

ซีลยางอาจแข็งตัว แตก หรือละลาย, ชิ้นส่วนพลาสติกอาจบิดเบี้ยวหรือหลอมละลาย, จาระบีในตลับลูกปืนอาจเสื่อมสภาพหรือไหลเยิ้มออกมา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กหรือวงจรอาจทำงานผิดพลาดหรือเสียหายถาวรจากความร้อน


  • การขยายตัวของวัสดุที่แตกต่างกัน 

วัสดุต่างชนิดกันจะมีการขยายตัวเมื่อได้รับความร้อนในอัตราที่ไม่เท่ากัน ในชิ้นงานที่ประกอบแน่นหนา การขยายตัวที่ไม่สมดุลนี้อาจทำให้เกิดความเค้น (stress) ภายในโครงสร้าง นำไปสู่การบิดเบี้ยว แตกร้าว หรือทำให้ส่วนประกอบที่ยึดติดกันหลุดออกจากตำแหน่งได้


  • ความยากในการป้องกันส่วนประกอบที่ละเอียดอ่อน 

แม้จะมีความพยายามในการปิดบัง ส่วนที่ไม่ต้องการให้โดนสีหรือความร้อน แต่สำหรับชิ้นงานที่ประกอบแล้วและมีความซับซ้อน การป้องกันส่วนประกอบภายในที่ละเอียดอ่อนทุกชิ้นจากความร้อนสูงในเตาอบนั้นทำได้ยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ในหลายกรณี


  • ปัญหาจากการปนเปื้อน 

ผงสีอาจเข้าไปตกค้างในส่วนที่ไม่ต้องการ หรือหากส่วนประกอบภายในเสียหายจากความร้อน อาจมีการปล่อยสารออกมาปนเปื้อนฟิล์มสีหรือส่วนอื่น ๆ ของชิ้นงานได้


ดังนั้น แทนที่จะได้ชิ้นงานที่สวยงามทนทาน ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นชิ้นงานที่เสียหายบางส่วนหรือทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ การพยายามทำสีฝุ่นกับชิ้นงานที่ประกอบเสร็จและมีส่วนประกอบที่ละเอียดอ่อนจึงมีความเสี่ยงสูงและมักไม่คุ้มค่า ทำให้โดยทั่วไปแล้วผู้ผลิตจะเลือกทำสีฝุ่นกับชิ้นส่วนแต่ละชิ้นแยกกันก่อนที่จะนำมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปครับ


  1. ปัญหาด้านการนำไฟฟ้าและการเตรียมพื้นผิว


นอกเหนือจากเรื่องการทนความร้อนแล้ว ปัญหาด้านการนำไฟฟ้าของวัสดุ และ ความสามารถในการเตรียมพื้นผิวให้เหมาะสม ก็เป็นอีกสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชิ้นงานบางประเภทไม่เหมาะกับการทำสีฝุ่นเช่นกันครับ สองปัจจัยนี้เกี่ยวพันโดยตรงกับหลักการทำงานและความทนทานของสีฝุ่น


  • การนำไฟฟ้า

กระบวนการพ่นสีฝุ่นส่วนใหญ่อาศัยหลักการไฟฟ้าสถิต โดยผงสีจะถูกชาร์จประจุไฟฟ้าลบขณะพ่นออกจากปืนพ่น แล้ววิ่งไปเกาะติดกับผิวชิ้นงานที่ต่อสายดิน (ซึ่งมีประจุเป็นบวก หรือเป็นกลาง) แรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตนี้ช่วยให้ผงสีเกาะติดผิวชิ้นงานได้อย่างสม่ำเสมอและเข้าถึงในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ดี ดังนั้น หากวัสดุของชิ้นงานเป็น ฉนวนไฟฟ้า หรือ นำไฟฟ้าได้ไม่ดี เช่น พลาสติกทั่วไป, แก้ว, ไม้แห้ง, หรือเซรามิก ผงสีที่มีประจุไฟฟ้าก็จะไม่สามารถถูกดึงดูดให้เข้าไปเกาะติดกับพื้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


ผลที่ตามมาคือผงสีจะเกาะติดได้น้อย, ไม่สม่ำเสมอ, เกิดความหนาของฟิล์มสีที่ไม่เท่ากัน, หรืออาจไม่เกาะติดเลยในบางพื้นที่ ทำให้สิ้นเปลืองผงสีและได้คุณภาพงานที่ไม่ดี แม้จะมีเทคนิคช่วยอย่างการใช้สีรองพื้นนำไฟฟ้า (Conductive Primer) หรือการให้ความร้อนแก่ชิ้นงานก่อนพ่น (Pre-heating) แต่ก็เป็นการเพิ่มขั้นตอน ความซับซ้อน และต้นทุน ซึ่งอาจไม่สามารถใช้ได้กับทุกกรณี


  • การเตรียมพื้นผิว 

เพื่อให้สีฝุ่นยึดเกาะได้อย่างดีเยี่ยมและมีความทนทานสูงสุด พื้นผิวของชิ้นงาน ทุกชนิด (แม้แต่โลหะที่นำไฟฟ้าได้ดี) จำเป็นต้องผ่านการเตรียมพื้นผิวอย่างพิถีพิถันก่อนการพ่นสี ซึ่งโดยทั่วไปจะรวมถึงการทำความสะอาดคราบไขมัน, น้ำมัน, สิ่งสกปรก, การขจัดสนิมหรืออ็อกไซด์ต่าง ๆ และมักจะตามด้วยการปรับสภาพผิวด้วยกระบวนการทางเคมี เช่น การเคลือบฟอสเฟต (สำหรับเหล็ก) หรือการเคลือบเซอร์โคเนียม/โครเมต (สำหรับอลูมิเนียม) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะและป้องกันการกัดกร่อนใต้ฟิล์มสี 


หากชิ้นงานทำจากวัสดุที่ไม่สามารถทนทานต่อกระบวนการทำความสะอาดทางเคมีเหล่านี้ได้ หรือมีลักษณะทางกายภาพที่ทำให้ไม่สามารถเตรียมพื้นผิวได้อย่างทั่วถึงและสมบูรณ์ (เช่น มีซอกมุมที่ทำความสะอาดไม่ได้) ก็ถือว่าไม่เหมาะสมกับการทำสีฝุ่น เพราะแม้จะพ่นสีติดในตอนแรก แต่การยึดเกาะที่ไม่ดีจะทำให้สีหลุดร่อนได้ง่ายในภายหลัง และไม่สามารถให้ความทนทานตามที่คาดหวังได้

ดังนั้น หากชิ้นงานมีปัญหาในการนำไฟฟ้า ทำให้ผงสีเกาะติดได้ไม่ดีตั้งแต่ต้น หรือไม่สามารถทนทานต่อกระบวนการเตรียมพื้นผิวที่จำเป็นเพื่อให้สีมีการยึดเกาะที่ดีในระยะยาวได้ ชิ้นงานนั้น ๆ ก็จะถูกจัดว่าไม่เหมาะสำหรับการทำสีฝุ่นนั่นเองครับ


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ปัญหาที่พบเจอได้บ่ายของการพ่นสีฝุ่น


  1. ข้อจำกัดในทางปฏิบัติอื่น ๆ


นอกเหนือจากข้อจำกัดด้านวัสดุและการทนความร้อนแล้ว ยังมี ข้อจำกัดในทางปฏิบัติ (Practical Limitations) อื่น ๆ อีกหลายประการที่อาจทำให้สีฝุ่นไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชิ้นงานบางประเภทหรือในบางสถานการณ์ครับ ปัจจัยเหล่านี้เกี่ยวข้องกับขนาดของชิ้นงาน ความซับซ้อนของกระบวนการ การบำรุงรักษา และความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์


  • ประการแรกคือ ขนาดและน้ำหนักของชิ้นงาน

โรงงานหรือผู้ให้บริการสีฝุ่นแต่ละแห่งจะมีข้อจำกัดเรื่องขนาดของไลน์พ่นสีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งขนาดของเตาอบ หากชิ้นงานมีขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมากเกินกว่าที่อุปกรณ์จะรองรับได้ ก็ไม่สามารถนำมาทำสีฝุ่นด้วยวิธีปกติได้ หรืออาจต้องหาผู้ให้บริการเฉพาะทางซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ประการต่อมาคือ ความซับซ้อนของรูปทรง: ดังที่กล่าวไปบ้างแล้ว ชิ้นงานที่มีซอกมุมลึกมากๆ หรือมีลักษณะเป็นช่องปิด อาจประสบปัญหา "ฟาราเดย์เคจเอฟเฟกต์" (Faraday Cage Effect) ทำให้ผงสีเข้าไปเคลือบในบริเวณเหล่านั้นได้ไม่ดีพอหรือไม่สม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดในทางปฏิบัติของการพ่นแบบไฟฟ้าสถิต


  • ปัจจัยสำคัญคือ ความยากในการซ่อมแซมเฉพาะจุด 

หากสีฝุ่นเกิดความเสียหายเป็นรอยขีดข่วนหรือกะเทาะเพียงเล็กน้อย การซ่อมแซมเฉพาะจุดนั้นทำได้ยากและมักจะเห็นร่องรอย ไม่สวยงามเหมือนเดิม ซึ่งแตกต่างจากสีน้ำหรือสีทาบางชนิดที่อาจแต้มซ่อมได้ง่ายกว่า โดยทั่วไปหากต้องการความสมบูรณ์ มักจะต้องทำการลอกสีเก่าออกแล้วพ่นใหม่ทั้งชิ้น หรืออย่างน้อยก็ทั้งส่วนนั้น ๆ ทำให้ไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับงานที่ต้องการการบำรุงรักษาหรือมีโอกาสเกิดความเสียหายเฉพาะจุดได้ง่าย


  • นอกจากนี้ ความคุ้มค่าสำหรับงานจำนวนน้อยมาก ๆ 

ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าระบบพ่นสีฝุ่น การทำความสะอาดเพื่อเปลี่ยนสี และการเดินระบบเตาอบนั้นมีต้นทุนคงที่และใช้เวลาพอสมควร ทำให้การทำสีฝุ่นสำหรับงานต้นแบบเพียงชิ้นเดียว หรืองานที่มีจำนวนน้อยมาก ๆ อาจมีต้นทุนต่อหน่วยที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการใช้สีประเภทอื่นที่ตั้งค่าได้รวดเร็วกว่า สุดท้าย การควบคุม ความหนาของฟิล์มสีให้บางมากๆ หรือการ เปลี่ยนสีบ่อย ๆ ในการผลิต ก็อาจเป็นข้อจำกัดในทางปฏิบัติของระบบสีฝุ่นเมื่อเทียบกับสีน้ำบางระบบได้


ดังนั้น ข้อจำกัดในทางปฏิบัติเหล่านี้ ตั้งแต่เรื่องขนาด, รูปทรง, การซ่อมแซม, ไปจนถึงความคุ้มค่าในการผลิตจำนวนน้อย ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วยเสมอ เพื่อตัดสินว่าสีฝุ่นเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและปฏิบัติได้จริงสำหรับความต้องการนั้น ๆ หรือไม่ 


โดยสรุปแล้ว การทำความเข้าใจว่าชิ้นงานประเภทใดที่ไม่เหมาะกับการทำสีฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นเพราะข้อจำกัดด้านการทนความร้อน การนำไฟฟ้า ลักษณะทางกายภาพที่ซับซ้อน หรือข้อจำกัดในกระบวนการผลิตและบำรุงรักษา ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้คุณสามารถเลือกเทคนิคการเคลือบผิวที่เหมาะสมที่สุด ได้ผลงานที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานและทนทานอย่างแท้จริง การตัดสินใจเลือกผิดวิธีอาจนำไปสู่ความเสียหายและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น


เพราะในโลกของงานโลหะ "แค่เลือก 'ใช่' อาจไม่พอ ต้องเลือก 'ใช่' กับ 'คนที่ใช่' เท่านั้น


หากคุณต้องการความมั่นใจสูงสุดสำหรับโปรเจกต์งานโลหะของคุณ ไม่ว่าจะเป็นงานตัดเลเซอร์ พับ เชื่อมประกอบ หรืองานทำสีฝุ่นคุณภาพสูงสำหรับชิ้นงานที่ผ่านการประเมินว่าเหมาะสมแล้ว บริษัท ไพลิน เลเซอร์ เมทเทิล จำกัด (PAILIN LASER METAL CO.,LTD - PLM) คือ 'คนที่ใช่' สำหรับคุณ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ประสบการณ์ยาวนาน และทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและบริการแบบครบวงจร ให้ทุกชิ้นงานของคุณไม่เพียงแค่เสร็จ แต่ต้องสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ติดต่อ PLM วันนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือกว่า

 
 
 

Comentários


บริษัท ไพลิน เลเซอร์ เมทเทิล จำกัด

3 ซอย เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 2 แยก 2,

แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 10250

โทร: 02-366-0777

plm@plm.co.th

  • Facebook

บริษัท ไพลิน เลเซอร์ เมทเทิล จำกัด คือผู้นำด้านการแปรรูปโลหะ การตัดเหล็กด้วยเลเซอร์ และงาน CNC ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการตัดเหล็ก เจาะเหล็ก เชื่อมเพื่อประกอบและขึ้นรูปเหล็ก ไปจนถึงควบคุมการผลิตและตรวจสอบชิ้นงานเพื่อให้ได้คุณภาพสูงสุด PLM เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำในหลายประเทศทั่วโลก ในฐานะบริษัทที่มีคุณภาพระดับสูง

bottom of page