ใคร ๆ ก็อยากได้งานพ่นสีที่สวย ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน และพาวเดอร์โค้ทก็เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่ตอบโจทย์นี้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยคุณสมบัติสุดเจ๋ง ทั้งความแข็งแกร่ง ความทนทานต่อสารพัดสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วน แสงแดด ฝนฟ้า หรือสารเคมี แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกต่างหาก จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นพาวเดอร์โค้ทเฉิดฉายอยู่บนทุกสิ่ง ตั้งแต่รถยนต์สุดหรู เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงโครงสร้างอาคาร
แต่อย่าเพิ่งคิดว่าพาวเดอร์โค้ทเป็นเรื่องง่าย เพราะเบื้องหลังความสวยงามไร้ที่ตินั้น แฝงไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อย และขั้นตอนอันแสนละเอียดอ่อน ที่หากพลาดพลั้งไปแม้แต่นิดเดียว ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาพังไม่เป็นท่า จากงานเทพ กลายเป็นงานเทวดา ต้องรื้อทำใหม่ เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน เสียทั้งอารมณ์
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกสิ่งที่ควรระวังในการพ่นสีพาวเดอร์โค้ท ที่มือใหม่มักเผลอทำ จนงานพัง งานเสีย และเคล็ดลับในการแก้ไข เพื่อให้คุณได้งานพ่นสีพาวเดอร์โค้ทที่สวย เรียบเนียน ไร้ที่ติ สมบูรณ์แบบในทุกมิติ
สิ่งที่ควรระวังในการพ่นสีพาวเดอร์โค้ท
การพ่นสีพาวเดอร์โค้ทนั้น ถือเป็นเทคนิคการพ่นผิววัสดุที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นหลาย ๆ อย่าง แต่ก่อนที่เราจะได้งานพ่นสีที่สวยงามไร้ที่ติ มีสิ่งสำคัญที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เปรียบเหมือนการสร้างบ้าน หากเราละเลยการวางรากฐานที่ดี ต่อให้ใช้วัสดุชั้นเลิศแค่ไหน บ้านก็อาจพังครืนลงมาได้ การพ่นสีพาวเดอร์โค้ทก็เช่นกัน หากไม่ใส่ใจในรายละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพื้นผิว การเลือกใช้สี การพ่นสี ไปจนถึงการอบสี ก็อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด ส่งผลให้งานออกมาไม่สวยงาม สีหลุดลอก หรือเสียหายได้ แล้วอะไรบ้างล่ะ ที่เราต้องระวังมาดูกันเลย
พื้นผิววัสดุไม่เรียบเนียน
พื้นผิววัสดุที่ไม่เรียบเนียน เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ต้องระวังในการพ่นสีพาวเดอร์โค้ท เพราะมันมีผลต่อคุณภาพของงานโดยตรง ลองนึกภาพตามครับ ถ้าพื้นผิวมีรอยบุบ รอยขีดข่วน หรือมีความขรุขระ เมื่อเราพ่นสีพาวเดอร์โค้ทลงไป สีก็จะพ่นผิวตามสภาพพื้นผิวนั้นๆ ทำให้เห็นรอยตำหนิต่างๆ ชัดเจน งานที่ได้ก็จะไม่สวยงาม ไม่เรียบเนียนแน่นอน
และผลกระทบของพื้นผิวที่ไม่เรียบเนียน สีอาจจับตัวหนาในบริเวณที่เป็นร่องหรือหลุม ขณะที่บริเวณที่นูนอาจมีสีบาง ทำให้เกิดความแตกต่างของเฉดสี รอยขีดข่วน รอยบุบ หรือรอยแตกบนพื้นผิว อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดสนิม และทำให้สีหลุดลอกได้ง่ายขึ้น ตัวสีเองอาจยึดเกาะกับพื้นผิวได้ไม่ดี เสี่ยงต่อการหลุดลอก แตกร้าว หรือเกิดฟองอากาศ สุดท้ายคือเสียหายต่อภาพลักษณ์ โดยเฉพาะงานที่ต้องการความสวยงาม ความเรียบเนียน เช่น เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ ฯลฯ
ฉะนั้น ก่อนพ่นสี ต้องทำความสะอาดพื้นผิวให้ปราศจากฝุ่น คราบสกปรก และสนิม จากนั้นควรปรับสภาพพื้นผิวให้เรียบเนียนด้วยวิธีการที่เหมาะสม เช่น การขัด การเจียร การโป๊ว ฯลฯ และในกรณีที่พื้นผิวมีความเสียหายมาก อาจพิจารณาใช้สีรองพื้น (Primer) เพื่อช่วยปกปิดรอยตำหนิ และเพิ่มการยึดเกาะของสีพาวเดอร์โค้ท ไปจนถึงเลือกชนิดของสีพาวเดอร์โค้ทให้ดี เพราะสีพาวเดอร์โค้ทบางชนิด เช่น สีผิวทราย สามารถช่วยพรางรอยตำหนิบนพื้นผิวได้ดีกว่าสีผิวเรียบ
ไม่ทำความสะอาดวัสดุก่อนพ่น
การไม่ทำความสะอาดวัสดุก่อนพ่นสีพาวเดอร์โค้ท เป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงที่อาจส่งผลเสียต่อคุณภาพงานอย่างมาก เหมือนกับการทาสีบ้านบนผนังที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง คราบสกปรก แน่นอนว่าสีจะยึดเกาะได้ไม่ดี หลุดลอกง่าย และดูไม่สวยงาม
ต้องอธิบายก่อนว่า ผงสีพาวเดอร์โค้ทจะยึดเกาะกับพื้นผิววัสดุด้วยแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิต ดังนั้นหากพื้นผิวมีสิ่งปนเปื้อน เช่น ฝุ่น คราบน้ำมัน คราบไขมัน สนิม หรือสารเคมี จะทำให้แรงยึดเกาะระหว่างสีกับวัสดุลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น สิ่งสกปรกบนพื้นผิวจะขัดขวางการยึดเกาะของสี ทำให้สีหลุดลอก เป็นแผ่น หรือลอกออกเป็นชั้น ๆ ได้ง่าย และสิ่งปนเปื้อนขนาดเล็ก เช่น ฝุ่นละออง อาจทำให้เกิดรอยนูน รอยบุ๋ม หรือจุดเล็ก ๆ บนผิวสี
ไปจนถึงพวกคราบน้ำมัน คราบไขมัน หรือความชื้น อาจทำให้เกิดฟองอากาศใต้ชั้นสี เมื่อเวลาผ่านไป ฟองอากาศเหล่านี้อาจแตกออก ทำให้สีหลุดลอกตามมาได้ หรือไปอาจทำปฏิกิริยากับสี ทำให้เกิดคราบ รอยด่าง หรือสีเปลี่ยนไปจากเดิม สุดท้ายสิ่งสกปรก โดยเฉพาะสนิม อาจกัดกร่อนพื้นผิววัสดุ ทำให้สีเสียหาย และลดอายุการใช้งานในที่สุด
เราเลยอยากแนะนำให้คุณใช้ลมเป่า แปรง หรือผ้าสะอาด เช็ดทำความสะอาดฝุ่น เศษผง และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกจากพื้นผิวก่อนทุกครั้ง จากนั้นให้เลือกใช้สารเคมีที่เหมาะสมกับชนิดของวัสดุ และชนิดของสิ่งสกปรก เช่น น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาล้างไขมัน น้ำยากำจัดสนิม ฯลฯ ในกรณีที่มีคราบสกปรกฝังแน่น หรือมีสนิม อาจต้องใช้กระดาษทราย แปรงลวด หรือเครื่องมือขัด เพื่อทำความสะอาดพื้นผิว
ใช้อุณหภูมิในการอบไม่สม่ำเสมอ
การใช้อุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอถือเป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ กับชิ้นงานได้ เนื่องจากผงสีพาวเดอร์โค้ทจะหลอมละลายและยึดติดกับพื้นผิววัสดุเมื่อได้รับความร้อนที่เหมาะสม และการอบสีด้วยอุณหภูมิที่สม่ำเสมอทั่วทั้งชิ้นงาน จะทำให้สีหลอมละลาย ไหลตัว และแข็งตัวอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ได้ผิวสีที่เรียบเนียน มีความแข็งแรง และทนทาน
หากคุณอบสีด้วยอุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอ แน่นอนว่าบริเวณที่ได้รับความร้อนมากเกินไป สีอาจไหม้ เกิดรอยแตก หรือสีเปลี่ยน ขณะที่บริเวณที่ได้รับความร้อนน้อยเกินไป สีอาจไม่แห้งสนิท ทำให้ผิวสีไม่เรียบเนียน เป็นคลื่น หรือมีรอยด่าง ทำให้สีไม่สามารถยึดเกาะกับพื้นผิววัสดุได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้สีหลุดลอกง่าย ไปจนถึงความแตกต่างของอุณหภูมิในแต่ละส่วนของชิ้นงาน อาจทำให้เกิดความเครียดภายในชั้นสี ส่งผลให้สีแตก หรือเกิดรอยร้าว
นอกจากนี้ อุณหภูมิที่สูงเกินไป อาจทำให้สีเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น สีซีด สีเหลือง หรือสีคล้ำ และการอบสีที่ไม่ถูกต้อง จะลดความทนทานของสี ทำให้สีไม่สามารถป้องกันการกัดกร่อน รอยขีดข่วน และสารเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น คุณควรเลือกใช้เตาอบที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ และมีการกระจายความร้อนที่ดี ก่อนอบสีทุกครั้ง ควรตรวจสอบอุณหภูมิของเตาอบ และปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ควรจัดวางชิ้นงานในเตาอบ โดยเว้นระยะห่างที่เหมาะสม เพื่อให้ความร้อนกระจายได้ทั่วถึง อย่าลืมอบสีตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้สีแห้งสนิท และแข็งตัวอย่างสมบูรณ์
พ่นสีหนาเกินไป
การพ่นสีพาวเดอร์โค้ทที่หนาเกินไป เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อย และควรระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจส่งผลเสียต่อคุณภาพและความสวยงามของชิ้นงานได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ความหนาของชั้นสีพาวเดอร์โค้ทที่เหมาะสมจะอยู่ในช่วง 60-100 ไมครอน ขึ้นอยู่กับชนิดของสี ชนิดของวัสดุ และวัตถุประสงค์การใช้งาน การพ่นสีที่หนาเกินไป นอกจากจะสิ้นเปลืองสีโดยใช่เหตุแล้ว ยังอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เยอะมาก อันดับแรกคือเมื่อสีพาวเดอร์โค้ทได้รับความร้อนในเตาอบ จะเกิดการหลอมละลาย หากสีหนาเกินไป สีที่หลอมเหลวอาจไหลเยิ้ม ทำให้ผิวสีไม่เรียบเนียน เกิดเป็นรอยคลื่น รอยหยด หรือรอย sagging เป็นต้น
ชั้นสีที่หนา มีโอกาสเกิดการแตกร้าว หรือหลุดลอกได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อชิ้นงานได้รับแรงกระแทก หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ และอาจทำให้ความร้อนจากเตาอบไม่สามารถทะลุผ่านไปยังชั้นสีด้านในได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้สีไม่แห้งสนิท เกิดความชื้น และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา สีก็จะซีดจางลง เนื่องจากการสะท้อนแสงที่ไม่สม่ำเสมอ ในกรณีที่ชิ้นงานมีลวดลาย หรือรายละเอียดที่ต้องการโชว์ การพ่นสีที่หนาเกินไป อาจบดบังรายละเอียดเหล่านั้น
คุณมีหน้าที่เพียงฝึกฝนเทคนิคการพ่นสีให้ชำนาญ ควบคุมระยะห่าง ความเร็ว และมุมของปืนพ่นสี เพื่อให้ได้ความหนาของสีที่สม่ำเสมอ และปืนพ่นสีบางรุ่น มีระบบควบคุมปริมาณผงสี และแรงดันลม ซึ่งช่วยให้ควบคุมความหนาของสีได้ง่ายขึ้น อย่าลืมใช้เครื่องมือวัดความหนาของสี เช่น เครื่องวัดความหนาแบบแม่เหล็ก เพื่อตรวจสอบความหนาของสีอย่างสม่ำเสมอ จดจำไว้เสมอว่าการอบสีที่นานเกินไป อาจทำให้สีหนาขึ้น ควรอบสีตามเวลาที่กำหนด และควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม
ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันก่อนพ่นทุกครั้ง
การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันก่อนการพ่นสีพาวเดอร์โค้ททุกครั้ง เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และมักถูกมองข้ามไป เพราะผงสีพาวเดอร์โค้ทมีขนาดเล็กมาก สามารถฟุ้งกระจายในอากาศ และเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการระคายเคือง ไอ จาม หายใจลำบาก หรือเป็นอันตรายต่อปอดในระยะยาวได้
ตัวผงสี และสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการพ่น อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผื่นแพ้ หรือระคายเคืองผิวหนัง หรืออาจกระเด็นเข้าตา ทำให้เกิดการระคายเคือง แสบตา หรือตาอักเสบ ตัวเตาอบที่ใช้ในการอบสี มีอุณหภูมิสูง อาจทำให้เกิดแผลไหม้ หากสัมผัสโดน ไปจนถึงปืนพ่นสีแบบไฟฟ้าสถิต ใช้ไฟฟ้าแรงสูงในการชาร์จประจุผงสี อาจเกิดอันตรายจากไฟฟ้าดูด หากใช้งานไม่ถูกวิธี ต้องบอกเลยว่ามีแต่อันตรายทั้งนั้นเลย คุณจึงไม่ควรมองข้ามการใส่อุปกรณ์เพื่อปลอดภัยไว้ก่อนทุกครั้ง
สำหรับอุปกรณ์ป้องกันที่ควรสวมใส่ เราลิสต์มาให้แล้ว
หน้ากากป้องกันฝุ่น
ควรเลือกใช้หน้ากากชนิดที่กรองอนุภาคขนาดเล็กได้ เช่น หน้ากาก N95 เพื่อป้องกันการสูดดมผงสี
แว่นตานิรภัย
ควรสวมแว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันผงสี หรือสารเคมี กระเด็นเข้าตา
ถุงมือ
ควรสวมถุงมือ เช่น ถุงมือยาง ถุงมือไนไตรล์ เพื่อป้องกันการสัมผัสกับผงสี และสารเคมี
ชุดป้องกัน
ควรสวมใส่ชุดป้องกัน เช่น ชุดคลุม ผ้ากันเปื้อน เพื่อป้องกันผงสี และสารเคมี เปื้อนเสื้อผ้า
รองเท้านิรภัย
ควรสวมรองเท้านิรภัย เพื่อป้องกันอันตรายจากการตกหล่นของชิ้นงาน หรืออุปกรณ์
นอกจากนี้เราแนะนำให้ทำงานในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อลดการสะสมของผงสีในอากาศ ล้างมือ ล้างหน้า และอาบน้ำ หลังจากเสร็จสิ้นการทำงาน เพื่อชำระล้างผงสี และสารเคมี ออกจากร่างกาย และก่อนใช้งาน ควรตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์ป้องกัน ว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายแล้ว การพ่นสีพาวเดอร์โค้ทที่สมบูรณ์แบบ เกิดจากความใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุคุณภาพ การเตรียมพื้นผิวอย่างพิถีพิถัน การควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ในการพ่นและอบสี ไปจนถึงการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่สวยงาม ทนทาน และปลอดภัย
และหากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการตัดเลเซอร์และแปรรูปโลหะ เพื่อเตรียมชิ้นงานสำหรับการพ่นสีพาวเดอร์โค้ท "ไพลิน เลเซอร์ เมทเทิล (PLM)" พร้อมให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความแม่นยำสูง และประสบการณ์ยาวนาน มั่นใจได้ในคุณภาพชิ้นงาน ที่พร้อมสำหรับการพ่นสีอย่างสมบูรณ์แบบ ติดต่อ PLM วันนี้ เพื่อสัมผัสประสบการณ์งานโลหะคุณภาพ ที่เหนือกว่า
Comments